ไวรัสตับอักเสบ ภัยเงียบที่อันตรายกว่าที่คิด…ป้องกันและรักษาได้ หากตรวจพบเร็ว

 
 
 

          ไวรัสตับอักเสบ (Hepatitis Virus) คือการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของตับ มีอยู่หลายชนิด ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ เอ (HAV), บี (HBV), ซี (HCV), ดี (HDV), และอี (HEV) ซึ่งแต่ละชนิดมีวิธีการติดต่อ ความรุนแรง และการรักษาที่แตกต่างกันไป ประเทศไทยพบมากที่สุดคือ ไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ

 ไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิดติดต่อได้อย่างไร ?

  • ไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) ติดต่อผ่านการรับประทานอาหารและน้ำที่ปนเปื้อน เชื้อชนิดนี้ไม่ทำให้เรื้อรัง แต่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเฉียบพลัน เช่น ตัวเหลือง ตาเหลือง

  • ไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ติดต่อทางเลือด เพศสัมพันธ์ และการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก เป็นไวรัสที่พบมากในคนไทย และหากติดเชื้อตั้งแต่วัยเด็ก มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง

  • ไวรัสตับอักเสบซี (HCV) ติดต่อทางเลือด เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือการรับเลือดที่ไม่ได้ผ่านการตรวจเชื้อ ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อเวลาผ่านไปอาจกลายเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับได้

  • ไวรัสตับอักเสบดี (HDV) เกิดขึ้นเฉพาะในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอยู่แล้ว ทำให้โรครุนแรงขึ้น

  • ไวรัสตับอักเสบอี (HEV) ติดต่อจากอาหารและน้ำที่ไม่สะอาด พบได้ในบางประเทศ แต่ไม่ค่อยเรื้อรัง ยกเว้นในหญิงตั้งครรภ์ที่อาจมีความรุนแรงสูง

 อาการที่ควรสังเกต ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบในระยะแรกอาจไม่แสดงอาการ แต่เมื่อเชื้อทำให้ตับอักเสบมากขึ้น จะพบอาการ เช่น

  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย

  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้

  • ปวดท้องใต้ชายโครงขวา

  • ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระซีด

  • ตัวเหลือง ตาเหลือง

หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดและตรวจตับโดยละเอียด

การป้องกันและการรักษา

  1. การฉีดวัคซีน – โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งมีวัคซีนป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูง

  2. การตรวจสุขภาพประจำปี – ตรวจเลือดหาการติดเชื้อและการทำงานของตับ

  3. การรักษาด้วยยา – เช่น ยาต้านไวรัส (Antiviral drugs) สำหรับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีและซี ช่วยลดปริมาณเชื้อและชะลอความเสียหายของตับ

  4. การดูแลสุขภาพตับ – หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ ควบคุมน้ำหนัก และรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

          ที่มา : โรงพยาบาลพญาไท